5 มิถุนายน 2554 วันสิ่งแวดล้อมโลก…อีกหนึ่งวันสำคัญของมวลมนุษยชาติ
ในวันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปีนั้น เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก
ซึ่งเป็นวันที่เราควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อสภาพแวดล้อมของเราที่ย่ำแย่ลงทุกวัน
สังเกตได้จากปรากฏการณ์ต่างๆ ทั้งหิมะขั้วโลกเหนือละลาย น้ำท่วม แผ่นดินไหว
หรืออากาศร้อนขึ้น ซึ่งผลเหล่านี้ล้วนมาจากการมนุษย์ที่เป็นคนทำลายธรรมชาติ
ทำลายสิ่งแวดล้อมดีๆ นั่นเอง ทำให้หน่วยงานของโลกจัดตั้งวันสิ่งแวดล้อมโลกขึ้น
ทั้งนี้เพื่อร่วมกันหาหนทางแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ประเทศต่างๆ
กำลังเผชิญอยู่ ซึ่งผลจากการประชุมครั้งนั้นได้มีข้อตกลงร่วมกันหลายอย่าง เช่น
การจัดตั้งโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP:
United Nations Environment Programme) ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงไนโรบี
ประเทศเคนยา และรัฐบาลประเทศต่างๆ ก็ได้รับข้อตกลงจากการประชุมคราวนั้น ไปจัดตั้งหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นในประเทศของตน
ดังนั้นเพื่อเป็นการระลึกถึงจุดเริ่มต้นของการร่วมมือ
จากหลากหลายชาติในด้านสิ่งแวดล้อม องค์การสหประชาชาติจึงได้ประกาศให้วันที่ 5
มิถุนายน ของทุกปีเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติมีหน้าที่ติดตาม
และประเมินผลการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางด้านสิ่งแวดล้อม
รวมทั้งกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ทางที่ดี
และเพื่อให้เป้าหมายบรรลุผลจึงได้กำหนดวิธีการไว้ดังนี้
- สร้างความตื่นตัวในการเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม
และให้การศึกษากับประชาชนและนักศึกษาทั่วไป
- ให้การสนับสนุนทางวิชาการ
และเผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
เพื่อกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
- เสริมสร้างให้สถาบันและคนในสถาบันตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม
นอกจากนั้น
ยังมีข้อตกลงจากการประชุมให้มาดำเนินการจัดตั้งหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นในประเทศของตน
ซึ่งประเทศไทยก็ได้ตราพระราชบัญญัติส่งเสริม และรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2518 และได้ก่อตั้งสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติขึ้น
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 อันเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการดำเนินงาน
ด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย โดยต่อมาในปี พ.ศ. 2535 ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็น
3 หน่วยงาน คือ
1.กรมควบคุมมลพิษ
2 กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
3.สำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม
กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
และในส่วนของสถาบันการศึกษาก็ได้มีการจัดสอนหลักสูตรด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นในหลายๆ
มหาวิทยาลัย ซึ่งนับได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของการตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม
อีกทั้งสื่อมวลชนก็ได้ส่งเสริมให้เกิดการตื่นตัวในปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ซึ่งวันสิ่งแวดล้อมโลกในแต่ละปีก็จะมีหัวข้อที่ต่างกันออกไป
เรามาดูกันดีกว่าว่าแต่ละปีที่ผ่านมามีคำขวัญว่าอย่างไรบ้าง
พ.ศ. 2536
(Poverty and the Environment : Breaking the Vicious Circle)
พ.ศ. 2537
โลกใบเดียว ครอบครัวเดียวกัน (One Earth, One Family)
พ.ศ. 2538
ประชาชน เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมโลก (We The
Peoples,United for the Global Environment)
พ.ศ. 2539
รักโลก : ดูแลถิ่นฐานบ้านเรา (Our Earth, Our Habitat,Our
Home)
พ.ศ. 2540
เพื่อชีวิตที่ยั่งยืนบนผืนโลก (For Life one Earth)
พ.ศ. 2541
เศรษฐกิจพอเพียง เลี้ยงชีวิตยั่งยืน (For Life on Earth
“Save our Seas”)
พ.ศ. 2542
รักโลก รักอนาคต รักษ์สิ่งแวดล้อม (“Our Earth,Our
Future…Just Save It”)
พ.ศ. 2543
ปี 2000 สหัสวรรษแห่งชีวิตสิ่งแวดล้อม :
ร่วมคิด ร่วมทำ เพื่อโลก เพื่อเรา (2000 The Environment Millennium :Time
to Act)
พ.ศ. 2544
เชื่อมโยงโลกกว้าง ร่วมสร้างสานสายใยชีวิต (CONNECT with the
World Wide Web of Life)
พ.ศ. 2545
ให้โอกาสโลกฟื้น คืนความสดใสให้ชีวิต (Give Earth a Chance)
พ.ศ. 2546
รักษ์น้ำเพื่อสรรพชีวิต ก่อนวิกฤตจะมาเยือน (Water – Two
Billion People are Dying for it!)
พ.ศ. 2547
ร่วมพิทักษ์ ร่วมรักษ์ทะเลไทย (Wanted! Sea and Oceans –
Dead or Live?)
พ.ศ. 2548
เมืองเขียวสดใส ร่วมใจวางแผนเพื่อโลก (GREEN CITIES PLAN FOR
THE PLANET!)
พ.ศ. 2549
เพิ่มความชุ่มชื้น คืนสู่ธรรมชาติ (DON T DESERT
DRYLANDS!)
พ.ศ. 2550
ลดโลกร้อน ด้วยชีวิตพอเพียง (MELTING ICE-A HOT TOPIC)
พ.ศ. 2551
ลดวิกฤติโลกร้อน : เปลี่ยนพฤติกรรม ปรับแนวคิด
สู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Co2 Kick the Habit ! Towards a Low Carbon
Economy)
พ.ศ. 2552 คุณคือพลัง ช่วยหยุดยั้งภาวะโลกร้อน (Your Planet Needs You – Unite to Combat Climate Change)
พ.ศ. 2553 ความหลากหลายทางชีวภาพ กู้วิกฤติชีวิตโลก (Many Species One Planet One Future)
พ.ศ. 2552 คุณคือพลัง ช่วยหยุดยั้งภาวะโลกร้อน (Your Planet Needs You – Unite to Combat Climate Change)
พ.ศ. 2553 ความหลากหลายทางชีวภาพ กู้วิกฤติชีวิตโลก (Many Species One Planet One Future)
โดยในปี พ.ศ. 2554 นี้โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP)
ได้กำหนดจัดกิจกรรมฉลองวันสิ่งแวดล้อมโลก ณ เมืองมุมไบและเดลฮี
ประเทศอินเดีย ภายใต้หัวข้อเรื่องและคำขวัญเป็นภาษาอังกฤษว่า “Forests
: Nature at Your Service” ส่วนประเทศไทยได้มีคำขวัญภาษาไทยว่า “ป่าไม้มีคุณ เกื้อหนุนสรรพชีวิต คิดถนอมรักษา” โดย
เน้นสื่อสารให้ทุกคนรู้ว่าแต่ละคนสามารถปฏิบัติการที่ส่งผลกระทบต่อโลกได้
ด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ การปลูกต้นไม้ในโรงเรียน การกำหนดวันงดใช้รถยนต์
การทำความสะอาดบ้านเรือนในชุมชน การทำความสะอาดสวนสาธารณะ
ฯลฯ คำขวัญวันสิ่งแวดล้อมโลกปี 2554 นี้จะสนับสนุนกิจกรรมที่สอดคล้องกับประกาศขององค์การสหประชาชาติที่กำหนดปี
2011 เป็น International Year of Forests ปีสากลแห่งการอนุรักษ์ป่าไม้และปี 2011-2020 เป็น “ทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ” (Decade of Biodiversity) ซึ่งต่อเนื่องจากปี 2010 ที่เป็นปี “The
International Year of Biodiversity” ปีสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ
เนื่องในโอกาสวันสิ่งแวดล้อมโลกนี้
จึงมี 80 วิธีหยุดโลกร้อน มาฝาก ไม่ว่าใครก็สามารถช่วยลดความร้อนให้กับโลกได้
ประชาชนทั่วไป
1.ลดการใช้พลังงานในบ้านด้วยการปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ได้ใช้งาน จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับ 1 พันปอนด์ต่อปี
1.ลดการใช้พลังงานในบ้านด้วยการปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ได้ใช้งาน จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับ 1 พันปอนด์ต่อปี
2.ลดการสูญเสียพลังงานในโหมดสแตนด์บาย
เครื่องเสียงระบบไฮไฟ โทรทัศน์ เครื่องบันทึกวิดีโอ
คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและอุปกรณ์พ่วงต่างๆ ที่ติดมาด้วยการดึงปลั๊กออก
หรือใช้ปลั๊กเสียบพ่วงที่ตัดไฟด้วยตัวเอง
3.เปลี่ยนหลอดไฟ
เป็นหลอดไฟประหยัดพลังงานแบบขดที่เรียกว่า Compact Fluorescent Lightbulb
(CFL) เพราะจะกินไฟเพียง 1 ใน 4 ของหลอดไฟเดิม และมีอายุการใช้งานได้นานกว่าหลายปีมาก
4.เปลี่ยนไปใช้ไฟแบบหลอด
LED จะได้ไฟที่สว่างกว่าและประหยัดกว่าหลอดปกติ 40% สามารถหาซื้อหลอดไฟ LED ที่ใช้สำหรับโคมไฟตั้งโต๊ะและตั้งพื้นได้ด้วย
จะเหมาะกับการใช้งานที่ต้องการให้มีแสงสว่างส่องทาง เช่น ริมถนนหน้าบ้าน
การเปลี่ยนหลอดไฟจากหลอดไส้จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี
5.ช่วยกันออกความเห็นหรือรณรงค์ให้รัฐบาลพิจารณาข้อดีข้อเสียของการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนกับภาคการผลิต
ตามอัตราการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลรูปแบบต่างๆ หรือการใช้ก๊าซโซลีน
เป็นรูปแบบการใช้ภาษีทางตรงที่เชื่อว่า
หากโรงงานต้องจ่ายค่าภาษีแพงขึ้นก็จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิตลง
ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการปล่อย CO2 ลงได้ประมาณ 5%
6.ขับรถยนต์ส่วนตัวให้น้อยลง
ด้วยการปั่นจักรยาน ใช้รถโดยสารประจำทาง หรือใช้การเดินแทนเมื่อต้องไปทำกิจกรรมหรือธุระใกล้ๆ
บ้าน เพราะการขับรถยนต์น้อยลง หมายถึงการใช้น้ำมันลดลง
และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย เพราะน้ำมันทุกๆ แกลลอนที่ประหยัดได้
จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 20 ปอนด์
7.ไปร่วมกันประหยัดน้ำมันแบบ
Car Pool นัดเพื่อนร่วมงานที่มีบ้านอาศัยใกล้ๆ นั่งรถยนต์ไปทำงานด้วยกัน
ช่วยประหยัดน้ำมัน และยังเป็นการลดจำนวนรถติดบนถนน
ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทางอ้อมด้วย
8.จัดเส้นทางรถรับส่งพนักงาน
ถ้าในหน่วยงานมีพนักงานจำนวนมากอาศัยอยู่ในเส้นทางใกล้ๆ กัน
ควรมีสวัสดิการจัดหารถรับส่งพนักงานตามเส้นทางสำคัญๆ เป็น Car Pool ระดับองค์กร
9.เปิดหน้าต่างรับลมแทนเปิดเครื่องปรับอากาศ
ลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้ไฟฟ้าเพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศ
10.มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม
เช่น ป้ายฉลากเขียว ประหยัดไฟเบอร์ 5 มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพสินค้าเกษตรอินทรีย์
เพราะการจะได้ใบรับรองนั้น จะต้องมีการประเมินสินค้าตั้งแต่เริ่มต้นหาวัตถุดิบ
11.ไปตลาดสดแทนซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง
ซื้อผัก ผลไม้ หมู ไก่ ปลา ในตลาดสดใกล้บ้าน แทนการช็อปปิ้งในซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง
ที่อาหารสดทุกอย่างมีการ***บห่อด้วยพลาสติกและโฟม ทำให้เกิดขยะจำนวนมาก
12.เลือกซื้อเลือกใช้
เมื่อต้องซื้อรถยนต์ใช้ในบ้าน
หรือรถยนต์ประจำสำนักงานก็หันมาเลือกซื้อรถประหยัดพลังงาน
รวมทั้งเลือกอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟ ทั้งในบ้านและอาคารสำนักงาน
13.เลือกซื้อรถยนต์ที่มีขนาดตามความจำเป็น
โดยพิจารณาจากขนาดครอบครัวและประโยชน์การใช้งาน
รวมทั้งพิจารณารุ่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพื่อเปรียบเทียบราคา
14.ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเลือกรถโฟว์วีลขับเคลื่อนแบบ
4 ล้อ เพราะกินน้ำมันมาก
และตะแกรงขนสัมภาระบนหลังคารถก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น
เพราะเป็นการเพิ่มน้ำหนักรถให้เปลืองน้ำมัน
15.ขับรถอย่างมีประสิทธิภาพ
ในระยะทางไกลการขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
จะช่วยลดการใช้น้ำมันลงได้ 20% หรือคิดเป็นปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดได้
1 ตันต่อรถยนต์แต่ละคันที่ใช้งานราว 3 หมื่นกิโลเมตรต่อปี
http://www.deqp.go.th/website/25/index.php?option=com_content&view=article&id=3791&lang=th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น